เมื่อนักวางแผนต้องมาวางใจ
การเดินทางจากการควบคุมสู่การปล่อยวางสำหรับคนที่คุ้นชินกับการวางแผนอย่างเป็นระบบในทุกย่างก้าวของชีวิต การต้อง “วางใจ” และปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไปตามทางของมัน เป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะความคิดที่ว่า ถ้ามีการวางแผนและมีเป้าหมาย ทุกอย่างก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ฉันมักมีการวางแผนในการใช้ชีวิตมาโดยตลอด อาจจะเพราะพ่อกับแม่เป็นแบบอย่างที่ดี ด้วยฐานะทางการเงินที่ค่อนข้างจำกัด พ่อกับแม่จึงต้องบริหารให้สามารถเลี้ยงลูกทั้งสามคนได้อย่างดี โดยที่ครอบครัวเราไม่เคยมีหนี้สินเลย เรามักใช้เงินที่มีอยู่ในมือให้เพียงพอต่อความจำเป็น ตั้งแต่สมัยเรียน ฉันเริ่มต้นการวางแผนการเงินด้วยการกู้เงินกยศ. เพื่อศึกษาจนจบปวส. นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้วิธีการใช้เงินอย่างมีระเบียบ เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปจนเรียนจบ
หลังจากเริ่มทำงาน ฉันได้เริ่มวางแผนทางการเงินที่ใหญ่ขึ้น โดยการจัดสรรเงินเดือนให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย แบ่งเก็บ และสำรองเงินสำหรับปลูกบ้านร่วมกับน้องๆอีกสองคน อีกทั้งยังวางแผนการเรียนต่อปริญญาตรี จนวันนี้ก็ได้เรียนจบ ปลูกบ้านเสร็จ และใช้หนี้กยศ. จนครบแล้ว หลังจากนั้น ฉันเริ่มวางแผนเรื่องการลงทุนเพื่อเกษียณและการทำธุรกิจเล็ก ๆ ในอนาคต รวมถึงการออกรถส่วนตัวคันแรกของครอบครัว จุดมุ่งหมายสูงสุดของฉันคือการมีอิสรภาพทางการเงิน และมีงานประจำที่มั่นคงเพื่อใช้ชีวิตที่สมดุล"
ในส่วนของการทำงาน ฉันเป็นนักวางแผนตัวยง และการวางแผนทำให้ผลลัพธ์ที่ได้รับเป็นไปตามคาด ฉันบริหารจัดการงานทุกอย่างที่ได้รับมอบหมายอย่างมีระบบ ใช้ความคิดสร้างสรรค์และทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้งานทุกชิ้นสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดีเสมอ และขอขอบคุณหัวหน้าที่เปิดโอกาสให้ฉันได้ใช้ศักยภาพของตัวเองเต็มที่
จะเห็นได้ว่าฉันมีแผนและเป้าหมายมาตลอด แต่ในสองสามปีที่ผ่านมา แผนที่เคยวางไว้อย่างดีต้องชะงักลง เนื่องจากการถูกเลิกจ้าง สิ่งที่เคยคาดหวังว่าจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น กลับต้องหยุดชะงัก
เป็นเรื่องธรรมดามากที่คนที่วางแผนชีวิตอย่างละเอียดและมีเป้าหมายชัดเจนจะรู้สึกกังวลเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนแม้กระทั่งการสมัครงาน ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับอะไรกลับมาเลย เมื่อเผชิญกับช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งมันยากที่จะ "วางใจ" เพราะใจของเราคุ้นเคยกับการควบคุมและการเตรียมพร้อม
ที่ต้องพูดถึงเรื่องการการวางใจ ถ้าคนที่เคยอ่านบล็อกเรื่อง "แตกต่างอย่างกลมกลืน" ก็คงพอทราบว่าฉันสนใจเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ พลังงานและกฎจักรวาล ซึ่งพูดถึงเรื่องการวางใจ แต่ก็นั่นแหละที่ทำให้เกิดความย้อนแย้งในจิตใจ เพราะลึกๆแล้วในใจยังคง "วางใจ" ไม่ได้อย่างแท้จริง
แต่ลองมองอีกมุม
1. "วางใจ" ไม่ได้แปลว่าปล่อยทุกอย่างไป แต่คือการเชื่อมั่นว่าเราได้ทำเต็มที่แล้ว ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องของจังหวะและเวลา อย่าลืมว่าความสำเร็จบางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกที่บางครั้งต้องใช้เวลาในการจัดเรียงตัว
2. จักรวาลทำงานในรูปแบบที่เราคาดเดาไม่ได้ สิ่งที่เรากำลังเผชิญอาจเป็นโอกาสให้เราหยุดพักและเตรียมตัวใหม่ เพื่อที่จะได้รับสิ่งที่เหมาะสมที่สุดในเวลาที่ใช่ บางครั้ง "ความเงียบ" คือพื้นที่ให้เราได้ฟังเสียงข้างในและตระหนักถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด
3. การหายใจลึกๆ และการอยู่กับปัจจุบันช่วยได้ การมองไปข้างหน้าจนมองไม่เห็นทางอาจทำให้เราเหนื่อย การกลับมามองปัจจุบันและใส่ใจกับสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ สำหรับฉันนั่นก็คือการเขียนบล็อก
กับดักของนักวางแผน การวางแผนแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็แฝงไปด้วยอารมณ์ของการควบคุม
1. ความไม่สบายใจจากความไม่แน่นอน ทุกครั้งที่ผลลัพธ์ยังเงียบงัน ความคิดของคนที่เคยพึ่งพา “การวางแผน” เป็นหลักก็เริ่มกระจัดกระจายเหมือนเส้นด้ายที่หลุดมือ ใจเต้นรัวเพราะกลัวว่าแผนทั้งหมดจะพังทลาย สิ่งที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลที่กัดกินหัวใจ
2. ความรู้สึกของการ “เสียศูนย์” การที่สิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามแผนทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนหลงอยู่ในทะเลหมอก ที่พยายามมองหาทางออก แต่กลับเจอเพียงความว่างเปล่า มันเหมือนกับยืนอยู่บนขอบหน้าผา—ต้องเลือกว่าจะกระโดดหรือยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นต่อไป
3. ความสงสัยในความสามารถของตัวเอง ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเราโดยตรง แต่สำหรับคนที่เชื่อว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม มันง่ายมากที่จะหันกลับมาสงสัยตัวเอง “ฉันพลาดตรงไหน?” “ฉันทำไม่ดีพอหรือเปล่า?” คำถามเหล่านี้วนเวียนจนความมั่นใจที่เคยมีเริ่มสั่นคลอน
การเรียนรู้ที่จะวางใจให้ได้อย่างแท้จริง
1. จากการควบคุมสู่การปล่อยวาง บางครั้งชีวิตต้องการให้เราหยุดพยายาม “ควบคุม” ทุกสิ่ง และเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในกระบวนการ บทเรียนที่แท้จริงไม่ใช่การไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด แต่คือการรู้จักเชื่อมั่นในสิ่งที่มองไม่เห็น และปล่อยให้จักรวาลทำหน้าที่ของมัน
2. การเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า ความว่างเปล่าอาจดูน่ากลัว แต่ในขณะเดียวกัน มันคือพื้นที่ที่เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ พื้นที่ที่เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน แทนที่จะเสียเวลาไปกับการพยายามควบคุมอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
3. การมองความล้มเหลวในมุมใหม่ บางครั้ง สิ่งที่ดูเหมือน "ล้มเหลว" อาจเป็นแค่การเลี้ยวไปในเส้นทางใหม่ที่เหมาะสมกว่า เราอาจไม่ได้เห็นภาพทั้งหมดในตอนนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะมองย้อนกลับมาและเข้าใจว่าทำไมสิ่งนั้นถึงต้องเกิดขึ้น
การ "วางใจ" ไม่ได้หมายถึงการยอมแพ้ แต่เป็นการปล่อยให้ทุกสิ่งเดินไปตามจังหวะและเวลา การปล่อยวางนี้ต้องการความกล้าในการยอมรับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และการเปิดใจรับสิ่งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในที่สุดการ "วางใจ" อาจทำให้เราเข้าใจว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตมีเหตุผลและเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางที่ทำให้เราเติบโตขึ้นในทุกด้าน
"ความท้าทายที่สุดสำหรับฉันในเรื่องนี้คือการ 'วางใจ' อย่างแท้จริง โดยปราศจากความเคลือบแคลงใจ เพราะถ้าฉันสามารถทำมันได้ นั่นจะเป็นการพิสูจน์ตัวเองในบททดสอบนี้ และพบว่าในที่สุด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีจังหวะและเหตุผลของมันเอง"
ในความนิ่งสงบและการปล่อยวาง เราอาจค้นพบว่า ชีวิตมีหนทางของมันเองที่พร้อมพาเราไปยังที่ที่เหมาะสมที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น